... นิว ลูกชิ้นนายใบ้, เปิดบริการทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ เวลา 16.00-22.00 ...
 
 

     ถ้าพูดถึงประวัติ ก็ต้องย้อนไปในสมัยเมื่อประมาณ 30 ปี ที่แล้ว ข้างขณะบัญชีจุฬา (จามจุรีสแควร์ ในปัจจุบัน) บริเวณนั้นเคยเป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่สมัยนั้นเค้าเรียกกันว่า ชาวหมอนยี่สิบ บริเวณนั้น มีร้านอาหาร ภัตตาคาร ชื่อดังมากมาย เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นิสิต และ อาจารย์ในจุฬา ว่าถ้าจะหาของกินอร่อยๆ แล้วไม่ต้องไปไหนไกล มาที่นี่ก็จะมีของกินมากมายให้เลือกอิ่มอร่อยได้อย่างไม่มีเบื่อ

     สมัยนั้น มีร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งทำกันเองภายในครอบครัว ตั้งขายอยู่ใน ตลาดโต้รุ้ง จุฬา ซอย 16 ต่อมา ได้มีลูกชิ้นปลาชื่อดังร้านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) มาขายตัดหน้า (บริเวณหน้าตึกหัวมุมถนน ซอยฝั่งตรงข้ามวัดหัวลำโพง ซึ่งเป็นปากซอยทางเข้า ทะลุผ่าน เข้าใจกลางของชุมชนได้ และใช้เป็นทางลัดเดินผ่านเข้า จุฬาได้ โดยไม่ต้องเดินอ้อมเข้าประตูใหญ่) นายวิโรจน์ อร่ามแสงจันทร์ (นายใบ้) จึงได้ตัดสินใจ ย้ายร้าน ก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ มา เช่าพื้นที่หน้าร้านฝั่งตรงข้าม ริมฟุตบาท โดยใช้ชื่อร้านเป็นชื่อของตัวเองว่า โอโฮ้! ลูกชิ้นปลานายใบ้ และใช้รูป คนตีปิงปอง แสดงให้เห็นว่า ลูกชิ้นของเรานั้นเด้งได้จริงๆ และทำมาจากเนื้อปลาแท้ ไม่ผสมแป้ง


     ผลปรากฏว่า แพ้ตั้งแต่ยัง ไม่ได้สู้ คนไม่เข้าร้าน เพราะคนนิยมทานก๋วยเตี๋ยวร้านที่มีชื่ออยู่แล้ว มากกว่าที่จะมาทานร้านก๋วยเตี๋ยวที่เพิ่งเปิดใหม่ ถึงแม้ว่า จะมั่นใจในฝีมือการทำลูกชิ้น สูตรน้ำซุปของตัวเอง ว่าอร่อยไม่แพ้ใครๆ แต่ถ้าลูกค้าไม่เข้าร้าน ก็ยากที่จะทำให้มีชื่อเสียง (สมัยนั้นจะเป็นการพูดแบบ ปาก-ปาก ไม่ค่อยมีการโฆษณาทางสื่อ)


     แต่พอหลังๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังร้านนั้นหยุดร้านบ่อย เมื่อลูกค้ามาแล้วผิดหวังเห็นร้านปิด ก็มาทานร้านของเราแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ บ่อยเข้าๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายใบ้ ก็เริ่มมีชื่อเสียง ติดปาก ในหมู่นิสิต และ อาจารย์ มีคนเต็มร้าน คนรอคิวกิน แต่ปริมาณ โต๊ะ แค่ ไม่กี่โต๊ะ จึงเราไม่เพียงพอต่อการให้บริการ


ขยายเข้าอาคาร


     ต่อมาจึงได้ เซ้งตึก(อาคารบริเวณนั้นเป็นทรัพย์สิน ของจุฬาทั้งหมด จึงเป็นสัญญาเช่า ไม่มีการซื้อขายขาด) ห้องหัวมุม อยู่ข้างรั่วจุฬาพอดี ถัดจากที่ขายเดิมลึกเข้ามาด้านในสัก 2 ช่วงตึกได้ ได้ ใช้ชื่ออาคาร ว่า ยิ้มเจริญโภชนา อีกทั่ง ที่บริเวณเก่า ก็ไม่ได้เลิกขาย กิจการก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ จึงได้เข้าเซ้งตึกเพิ่มอีก นั้นก็คืออาคารห้องหัวมุมฝั่งตรงข้ามกับที่ขายที่แรก (บริเวณที่ร้านลูกชิ้นปลาร้านดังเจ้านั้นขายอยู่ ซึ่งได้เลิกขายไปแล้ว) และห้องข้างเคียงอีก 1 คูหา ได้พื้นที่ด้านหน้าทั้งหมดของบริเวณนั้นทั้งหมด ใช้ชื่ออาคารว่า พี่น้องโภชนา ณ.เวลานั้น มีผู้สนใจ ติดต่อ รับ ลูกชิ้นไปขายมากมาย มีสาขามากกว่า 30 เจ้า ลูกชิ้นปลานายใบ้ เป็นที่รู้จักกัน สามย่าน และบริเวณใกล้เคียง

ถึงจุดพลิกผัน


     เมื่อจุดรุ่งโรจน์ของช่วงชีวิตผ่านไป ก็ต้องมีจุดตกอับ เป็นของธรรมดา หลังจากมีชื่อเสียงในแถบนั้น เราจึงอยากขยายร้านซึ่งเป็นของเราเองออกไปอีก เราจึงได้ ตัดสินใจซื้อ ตึกแถว 5 ห้อง บริเวณถนนสุขุมวิท เป็นจำนวนเงิน 5 ล้านบาท(5ล้านบาทสมัยโน้นไม่ใช่น้อยๆนะครับ คิดดูเองว่าที่สุขุมวิทตอนนี้ราคาประมาณเท่าไหร่) ซึ่งที่แห่งนี้ ถูกยึดมาขาย ทอดตลาด เมื่อ ซื้อมาแล้ว ปรากฏ ว่าเจ้าของเดิมดื้อแพ่ง ไม่ยอมออก เมื่อไม่ยอมออก เราก็ไม่สามารถทำการตกแต่งร้านเพื่อทำการค้าได้ ดอกเบี้ยเงินกู้เดิน ในขณะที่ เราไม่สามารถ ใช้ประโยชน์จากตัวอาคารได้ ลำพังเพียงแค่ ยิ้มเจริญโภชนา และ พี่น้องโภชนา หาเงินได้มาเพียงส่งแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น เหมือนคลื่นโหมกระหน่ำ ลูกชายคนโตที่เป็นหัวเรียวหัวแรง ก็มาประสบอุบัติเหตุขาหัก การค้า จึงเหลืองเพียงตัวนายใบ้ เพียงคนเดียว ด้วยแรงเดียวที่เหลือ หาเงินได้ไม่เพียงพอต่อดอกเบี้ย ดอกเบี้ยก็ทบต้น จนในที่สุดก็เป็นหนี้ ธ.กรุงเทพ ถึง 10 ล้านบาท และ ธ.ศรีนครอีก 2 ล้านบาท (สมัยก่อนดอกเบี้ยเงินฝากประมาณ 11-12% แล้วดอกเงินกู้จะเท่าไหร่ ก็ลองคิดดูเอา) ตอนนี้เรา ไม่สามารถจ่ายหนี้ไหวแล้ว เราจำเป็นต้องเซ้ง ยิ้มเจริญโภชนา ออกไป เพื่อใช้หนี้ให้กับ ธ. กรุงเทพ และ ธ.ศรีนคร แต่นั้น ก็ยังไม่เพียงพอ เราต้องขอยืมเงิน มาจาก ญาติๆ ทรัพย์สมบัติที่มีถูกนำออกไปใช้ค้ำประกัน กับเงินที่ยืมไป เหมือนกับว่าหนี้ก็จะยังไม่ลดลง ท้ายสุด เราต้องขาย อาคารพาณิชย์ 5 ห้องที่สุขุมวิท เพื่อใช้หนี้ที่เหลือแก่ ธนาคาร


     เมื่อสิ่งที่ทำมาเกือบทั้งชีวิต ต้องสูญเสียไปทั้งหมด แถมยังเป็นหนี้ ญาติ ที่ยืมมาอีกเกือบ 10 ล้าน สมบัติมีค่าในตัวก็ไม่เหลือ ด้วยความกลุ้มใจ โรคภัยก็ รุมเร้าอย่างหนัก เพราะความเครียดและสูบบุหรี่จัด จนในที่สุดก็จากไป ด้วยโรค มะเร็งในปอด ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2532 อายุได้ 54 ปี


ปิดตำนาน นายใบ้ สามย่าน


     หลังจาก นายใบ้ ได้จากไป ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหมดจึงต้องตกอยู่กับลูกชายคนโต นายวิชัย อร่ามแสงจันทร์ (เจ้าของร้านลูกชิ้นปลานายใบ้ ป้ายขาว คนปัจจุบัน) แต่ดูเหมือนความเชื่อมั่นในสินค้ากับลดลงไปด้วย จำนวนสาขาที่มีอยู่เดิมเริ่มลดลง จนในที่สุดเหลือไม่ถึง 10 สาขา และในเวลานั้น สัญญาการเช่าที่ได้สิ้นสุดลง จุฬาไม่ยินยอมให้ต่อสัญญา ร้านนายใบ้ สามย่าน อาคาร พี่น้องโภชนา ที่สุดท้ายของเราจึงต้องปิดตัวลงในปี 2533 หลังจากนายใบ้จากไปได้ไม่ถึง 1 ปี นั้นเป็นการสิ้นสุด นายใบ้ สามย่าน

เริ่มนับใหม่ จากติดลบ


     ในปีเดียวกันนั้น เราได้ย้ายร้านมาเปิดที่ เตาปูน เรายังใช้ป้ายร้านพื้นขาวลักษณะเหมือนเดิม และใช้ชื่อเป็น นิว ลูกชิ้นปลานายใบ้ และได้เพิ่ม ข้อความในป้ายร้านบางส่วน เพื่อเรียกว่ามั่นใจกลับมา เพิ่มข้อความ ท้าพิสูจน์ โดย นายชัย แสดงให้เห็นถึงความ แนวแน่ และ ตั่งใจในการรักษาคุณภาพ แบบดั่งเดิมไว้อย่างดีที่สุด


ปลดหนี้ สร้างงาน


     ด้วยความพยายาม เราสามารถปลดหนี้ 10 กว่าล้าน ได้ในเวลา 2 ปีกว่า และยังเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้า กลับมาได้ เราเริ่มมีสาขา มากขึ้นจากเดิม จาก 10 เป็น 50 สาขา และมีลูกค้า จากต่างจังหวัด ที่มาทานที่ร้านแล้วติดใจ ติดต่อไปขายยังต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี หนองคาย ลำปาง ภูเก็ต ฯ


     ด้วยร้านนี้เราฝึกงานให้กับผู้ที่สนใจอยากเปิดร้าน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีผู้ที่ฝึกงานที่นี่แล้วไปเปิดร้าน สำเร็จมากมาย อาทิ นายใบ้ สาขา ติวานนท์, พนัสนิคม, ตัวเมือง นนท์, ศูนย์อาหารในโรงพยาบาล จุฬา, จรัสสนิทวงศ์ ฯลฯ


จดลิขสิทธิ์ ใช้ นายใบ้ NB INTERFOOD


     หลังจากเวลาผ่านไปอีก เรารู้สึกเริ่มมี นายใบ้ ที่ๆเราไม่รู้จัก เปิดขึ้นมากมายเป็นร้านที่ไม่ได้มาจากเรา (นายใบ้นั้นไม่ได้มีลูกแค่คนเดียว เมื่อมีลูกคนอื่นต้องการใช้ชื่อพ่อของตนเอง ก็ย่อมทำได้) ซึ่งเราไม่ได้ห้าม แต่เพื่อเป็นการยืนยันร้านที่เกิดขึ้นจาก เราจะใช้ป้ายพื้นขาว แล้ว ท้าพิสูจน์ โดย นายชัย ส่วนร้านที่เพิ่งเปิดออกไปใหม่ เราจะใช้ นายใบ้ NB INTER FOOD แทน เพื่อลูกค้าที่มาทาน ทราบว่านั้นคือร้าน ที่มาจากเรา เจ้าเก่า สามย่าน โดยแท้จริง